ไหนใครที่กำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับ โปรแกรมตัดกระเพาะ แต่ยังลังเล มารวมตัวกันตรงนี้เลย วันนี้เรารวบรวม คำถามสุดฮอต ที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจทำ โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ Bariatric Surgery มาให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ว่า ตัดกระเพาะเจ็บไหม, ก่อนตัดกระเพาะต้องเตรียมตัวยังไง หรือแม้แต่คำถามยอดฮิตอย่าง คนอ้วนตัดกระเพาะ ได้ไหม จริงๆ แล้ว โปรแกรมตัดกระเพาะอาหาร เป็นทางเลือกในการลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วน หรือแค่การแก้ปัญหาแบบชั่วคราว ถ้าอยากรู้คำตอบทั้งหมด วันนี้เราพร้อมจัดให้แบบครบจบ มาร่วมไขทุกข้อสงสัยไปพร้อมกัน แล้วมาดูกันว่าศัลยกรรมนี้เหมาะกับใคร และคุ้มค่าที่จะตัดสินใจทำหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันได้เลย

มัดรวม 8 คำถามสุดฮอต เกี่ยวกับ โปรแกรมตัดกระเพาะ

1. โปรแกรมดูดไขมัน โปรแกรมตัดหนังหน้าท้อง โปรแกรมตัดกระเพาะ เลือกวิธีไหนดีสุด?

คำตอบ: คำถามนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในข้อสงสัยสุดฮิต! เพราะทั้ง 3 โปรแกรมนี้ ต่างก็เป็นศัลยกรรมยอดนิยมสำหรับคนที่มีปัญหา ภาวะอ้วน, ลดความอ้วนเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผล, หน้าท้องใหญ่, หน้าท้องย้วย หรือหน้าท้องหลังคลอด แต่ละวิธีมีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • โปรแกรมดูดไขมัน (Lipo Selection) เหมาะสำหรับผู้ที่มี ไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง, ต้นแขน, ต้นขา, เหนียง ซึ่งลดด้วยวิธีธรรมชาติได้ยาก โปรแกรมดูดไขมัน ที่โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC นอกจากจะช่วยกำจัดไขมันแล้ว ยังสามารถ สร้างกล้ามหน้าท้อง ร่อง 11, Sexy Line หรือ Six Pack ได้แบบธรรมชาติ เหมือนออกกำลังกายมาทั้งชีวิต!

  • โปรแกรมตัดหนังหน้าท้อง (Victorian Waist Surgery™) เหมาะสำหรับคนที่ หน้าท้องใหญ่, หน้าท้องย้วย, หน้าท้องแตกลาย, หน้าท้องหลังคลอด แม้ลดน้ำหนักแล้วแต่พุงยังไม่ยุบ SLC ใช้เทคนิค Victorian Waist Surgery™ ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ผสาน โปรแกรมดูดไขมัน + การตัดหนังหน้าท้อง ทำให้เอวคอดชัด และผลลัพธ์กระชับยิ่งขึ้น

  • โปรแกรมตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) เป็นทางเลือก ลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วน ที่ลองมาหมดแล้วแต่ไม่สำเร็จ วิธีนี้ ช่วยลดขนาดกระเพาะลงถึง 80% ทำให้กินได้น้อยลงและลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มี ภาวะอ้วนขั้นรุนแรง และต้องการลดน้ำหนักแบบถาวร

สรุปแล้วก็คือ แต่ละวิธีมีเป้าหมายต่างกัน หากยังลังเล ควรเข้ามาปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อประเมินปัญหาเฉพาะบุคคล เพราะบางครั้งการตัดสินใจด้วยตัวเอง อาจทำให้มองข้ามจุดที่ต้องแก้ไขจริงๆ การเลือกศัลยกรรมที่เหมาะสม = ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2. ศัลยกรรมตัดกระเพาะ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงมั้ย และเห็นผลจริงหรือป่าว ?

คำตอบ: นี่คือ คำถามยอดฮิตติดเทรนด์ตลอดกาล เพราะหลายคนที่สนใจ โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ มักสงสัยว่ามันช่วย ลดน้ำหนักได้จริงไหม เห็นผลถาวรหรือเปล่า ซึ่งต้องบอกเลยว่า ได้ผลจริง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ใน ภาวะอ้วน และลองมาทุกวิธีแล้ว ไม่ว่าจะกินยาลดน้ำหนัก, อดอาหาร หรือออกกำลังกายอย่างหนัก บางคนอาจเห็นผลแค่ช่วงแรก แต่สุดท้ายก็โยโย่กลับมาเหมือนเดิม ต่างจาก โปรแกรมลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ที่ช่วยลดขนาดกระเพาะลงถึง 80% ทำให้ร่างกายรับอาหารได้น้อยลง และช่วยควบคุมความอยากอาหารโดยตรง แต่การเห็นผลชัดเจนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคน หากยังคงกินแบบเดิม น้ำหนักก็อาจกลับมาได้ แต่ถ้ามีวินัยในการกินและออกกำลังกายร่วมด้วย ผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปแบบคนละคนแน่นอน ดังนั้น โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการ ลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วน ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว

3. ใครบ้าง? ที่เหมาะกับการตัดกระเพาะ

คำตอบ: สำหรับใครที่สงสัยว่า เราเหมาะกับการทำโปรแกรมลดขนาดกระเพาะหรือเปล่า? ขอตอบเลยว่ามี 2 กลุ่มหลัก ที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1: ผู้ที่มี ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 แต่น้อยกว่า 35 สามารถเข้ารับ โปรแกรมตัดกระเพาะ ได้ หากมีโรคที่เกิดจากภาวะอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • กลุ่มที่ 2: ผู้ที่มี ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 ที่มี โรคร่วมจากโรคอ้วน เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

คำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ง่าย ๆ ตามสูตรนี้

BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร)²

ตัวอย่าง: คุณผิงผิง น้ำหนัก 99 กิโลกรัม ส่วนสูง 178 เซนติเมตร

BMI = 99 ÷ (1.78 × 1.78) = 31.23

หากค่าดัชนีมวลกายของคุณอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเกินไป และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องพิจารณา โปรแกรมตัดกระเพาะ เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพและปรับสมดุลของร่างกายให้ดีขึ้น

4. ตัดกระเพาะ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมั้ย?

คำตอบ: ตอบเลยว่า จริง นอกจากการทำ โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ จะช่วยให้รูปร่างดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีต่อ สุขภาพโดยรวม อย่างชัดเจน เพราะโรคที่มาพร้อมกับ ภาวะอ้วน มักเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนต้องเผชิญ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันเกิน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งเคสล่าสุดที่เข้ามาทำ โปรแกรมตัดกระเพาะ กับ คุณหมอพีท ก็ได้แชร์ประสบการณ์ว่า ก่อนทำผ่าตัดมีปัญหานอนกรนหนักมาก จนส่งผลกระทบกับคนรอบข้าง แต่หลังจากเข้ารับการผ่าตัดไปแล้ว อาการนอนกรนลดลงจนแทบไม่มีเสียง และสามารถพักผ่อนได้ดีขึ้นแบบรู้สึกได้ นอกจากนี้ การลดน้ำหนักจากการตัดกระเพาะ ยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นอีกด้วย หากดูแลตัวเองให้ดี ควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็สามารถลดความเสี่ยงของโรคร้ายได้อย่างยั่งยืน สุขภาพกลับมาฟิต 100% แน่นอน

5. ก่อนศัลยกรรมตัดกระเพาะ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

คำตอบ: ข้อนี้ตอบเลยว่าไม่ยาก สิ่งที่ต้องเตรียมมากที่สุดคือ เตรียมใจ เพราะการเข้ารับ โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ หมายความว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่การ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างจริงจัง ถ้าตัดสินใจได้แล้วว่าพร้อม ลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน แค่มี ใจที่แน่วแน่ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น และถ้าใครยังสงสัยว่า แค่เตรียมใจพอจริงเหรอ ขอตอบตรงนี้เลยว่า ใช่ เพราะในทุกขั้นตอน ศัลยแพทย์และทีมแพทย์จะเป็นผู้ดูแลให้ทั้งหมด ตั้งแต่การตรวจสุขภาพ ประเมินภาวะร่างกาย ไปจนถึง การให้คำแนะนำเรื่องพฤติกรรมการกิน หลังผ่าตัด รับรองว่าไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเผชิญปัญหาคนเดียว ทุกคนที่เข้ารับ โปรแกรมลดขนาดกระเพาะ จะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด ให้มั่นใจได้ว่า กระบวนการทุกอย่างจะปลอดภัย และผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน

6. ตัดกระเพราะ มีกี่วิธี วิธีไหนดีที่สุด?

คำตอบ: สำหรับ โปรแกรมตัดกระเพาะ หรือ Bariatric Surgery มีอยู่ 3 วิธีหลักที่ใช้กันในปัจจุบัน โดยแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • การใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร (Gastric Banding)

ศัลยแพทย์จะทำการส่องกล้องผ่านแผลเล็ก ๆ ที่หน้าท้อง แล้วนำ ห่วงรัดกระเพาะ ไปติดตั้งบริเวณส่วนบนของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารที่รับประทานเข้าไปถูกกักเก็บและเคลื่อนตัวลงสู่ลำไส้ช้าลง ส่งผลให้ อิ่มเร็วขึ้น กินได้น้อยลง น้ำหนักลดลง วิธีนี้ข้อดีคือ แผลเล็ก ฟื้นตัวไว แต่ข้อเสียคือ ต้องมีการปรับขนาดห่วงเป็นระยะ และผลลัพธ์อาจไม่ถาวร

  • การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)

เป็น เทคนิคยอดนิยม ในการลดน้ำหนัก ศัลยแพทย์จะทำการ ตัดกระเพาะออกประมาณ 80% เหลือไว้เพียงส่วนที่มีลักษณะคล้าย “กล้วย” ซึ่งจะช่วย ลดความสามารถในการขยายตัวของกระเพาะ และยังช่วยลดฮอร์โมนที่กระตุ้นความหิว (Ghrelin) ทำให้ อิ่มเร็ว กินได้น้อยลง น้ำหนักลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของวิธีนี้คือ ให้ผลลัพธ์ระยะยาว และเหมาะกับผู้ที่มีภาวะอ้วนระดับรุนแรง

  • การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (R-Y Gastric Bypass)

เป็นการ ลดขนาดกระเพาะอาหารและเปลี่ยนเส้นทางเดินของอาหาร โดยไม่ต้องตัดกระเพาะออกจากร่างกาย วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายดูดซึมได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ ลดแรงกดในกระเพาะ ลดการดูดซึมแคลอรี่ และช่วยลดโรคแทรกซ้อนจากความอ้วนได้ดี แต่ต้องมีการติดตามผลและดูแลเรื่องโภชนาการอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้วิธีที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับปัญหาและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่ถ้าพูดถึง เทคนิคยอดนิยมที่โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC เลือกใช้ ก็คือ โปรแกรมตัดกระเพาะ เทคนิคสลีฟ Sleeve Gastrectomy ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ ควบคุมอาหารไม่ได้ ออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่ลด และมีภาวะอ้วนที่ส่งผลต่อสุขภาพ วิธีนี้ช่วยให้กลับมามีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด และโรคหัวใจ แต่ก่อนตัดสินใจ ควรเข้ามาปรึกษากับศัลยแพทย์ก่อน เพราะ ปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

7. ตัดกระเพาะเจ็บไหม แผลใหญ่แค่ไหน และใช้เวลาทำกี่ชั่วโมง?

คำตอบ: ถ้าใครกำลังลังเลว่า ตัดกระเพาะเจ็บไหม น่ากลัวหรือเปล่า ขอบอกตรงนี้เลยว่า ไม่ได้เจ็บและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะ โปรแกรมตัดกระเพาะ เป็นศัลยกรรมที่ทำภายใต้ การดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์เฉพาะทาง ที่ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการผ่าตัด ทำให้ ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำ และที่ โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC ใช้เทคนิค ผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งช่วยให้แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว โดยศัลยแพทย์จะเปิดแผล เพียง 5 จุด ขนาดเล็กมาก ประมาณ 2 มิลลิเมตร – 5 เซนติเมตรเท่านั้น และสำหรับระยะเวลาในการผ่าตัด ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเคสของแต่ละคนด้วย หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถฟื้นตัวและกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น สบายกว่าที่คิดแน่นอน

8. หลังตัดกระเพาะ ดูแลตัวเองอย่างไร กินข้าว กาแฟ แอลกอฮอล์ได้ปกติมั้ย

คำตอบ: สำหรับใครที่กังวลว่า หลังทำโปรแกรมตัดกระเพาะ จะใช้ชีวิตปกติได้ไหม ต้องปรับตัวเยอะหรือเปล่า ขอตอบตรงนี้เลยว่า ช่วงแรกอาจต้องปรับตัวบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการกิน แต่ไม่ต้องห่วง เพราะที่ โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC มี ทีมแพทย์คอยดูแลแบบใกล้ชิด พร้อมให้คำแนะนำว่าควรกินอะไร และควรงดอะไร ทุกอย่างมีคู่มือชัดเจน ทำให้หมดกังวลเรื่องการดูแลตัวเองไปได้เลย

  • ช่วงแรก (1-4 สัปดาห์แรก) ต้องกินอาหารอ่อนก่อน (เช่น ซุป น้ำซุปใส อาหารเหลว) ค่อย ๆ ปรับมาเป็นอาหารปกติภายใน 1-2 เดือน
  • เรื่องกาแฟ สามารถกลับมาดื่มได้ แต่ควรงดในช่วงแรก เพราะกาแฟมีคาเฟอีน อาจระคายเคืองกระเพาะ
  • แอลกอฮอล์ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรงดไปเลย แต่ถ้าคิดว่างดไม่ได้ ควรงดช่วงแรก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของการระคายเคืองแผลผ่าตัด
  • ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน บอกเลยว่าไม่ได้ยุ่งยาก หลายคนหลังตื่นจากการผ่าตัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถลุกเดินได้เลย อาจมีอาการตึง ๆ หน่วง ๆ บริเวณหน้าท้องบ้าง แต่ก็เป็นแค่ช่วงแรกเท่านั้น ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รับรองว่ากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติแน่นอน
Tagged : #.