ภาวะอ้วน และ โรคอ้วน เป็นปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วไม่ได้ผล โปรแกรมตัดกระเพาะ ( โปรแกรมตัดกระเพาะ Bariatric Surgery ) หรือ การผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่า ช่วยลดขนาดกระเพาะ ให้เล็กลง ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือมีโรคร่วมจากความอ้วน หากกำลังมองหาวิธีที่สามารถช่วยให้สุขภาพดีขึ้น การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก อาจเป็นคำตอบที่ใช่
ศัลยกรรมตัดกระเพาะ คืออะไร?
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือ โปรแกรมตัดกระเพาะ Bariatric Surgery เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยให้ผู้ที่มี ภาวะอ้วน หรือ โรคอ้วนขั้นรุนแรง สามารถ ลดขนาดกระเพาะ เพื่อลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยหลักการสำคัญของ ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก คือทำให้กระเพาะอาหารเล็กลง ส่งผลให้ร่างกายรับอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น และช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาว นอกจากช่วยให้รูปร่างดีขึ้นแล้ว วิธีนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันพอกตับ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยและได้ผลจริง ปัจจุบัน โปรแกรมตัดกระเพาะ มี 3 เทคนิคหลักที่ตอบโจทย์แตกต่างกันไป ซึ่งจะเลือกแบบไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล
3 เทคนิค ลดขนาดกระเพราะ
1. การใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร (Gastric Banding)
เป็นการผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้ห่วงซิลิโคนรัดส่วนบนของกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดกระเพาะขนาดเล็กขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ร่างกายอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง วิธีนี้สามารถปรับขนาดของห่วงได้ในภายหลัง ข้อดีคือ แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และไม่มีการตัดกระเพาะออกจากร่างกาย
2. การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)
เทคนิคนี้ศัลยแพทย์จะตัดกระเพาะอาหารส่วนที่ขยายตัวได้ออกไปประมาณ 80% เหลือเป็นกระเพาะทรงกล้วยเล็ก ๆ ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และยังช่วยลดระดับฮอร์โมนกระตุ้นความหิว (Ghrelin) ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะช่วยลดน้ำหนักได้ดี และยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
3. การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (R-Y Gastric Bypass)
เป็นการลดขนาดกระเพาะอาหารร่วมกับการเปลี่ยนทางเดินอาหารใหม่ โดยสร้างกระเพาะขนาดเล็กขึ้นมาและเชื่อมต่อไปยังลำไส้ ทำให้การดูดซึมอาหารลดลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันพอกตับ
ที่ โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC เลือกใช้ เทคนิคสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถควบคุมการกินได้ และออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่ลดน้ำหนัก ด้วยเทคนิคส่องกล้อง Laparoscopic หรือการผ่าตัดผ่านกล้อง ทำให้แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และปลอดภัยมากขึ้น การผ่าตัดนี้ช่วยให้รับประทานอาหารได้น้อยลงอย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยลดฮอร์โมนกระตุ้นความหิว ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ยั่งยืน นอกจากช่วยปรับรูปร่างให้สมส่วน ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะอ้วนอีกด้วย
โปรแกรมตัดกระเพาะ / ลดขนาดกระเพาะอาหาร เหมาะกับใครบ้าง?
- อายุ 18 ปีขึ้นไป และมีภาวะน้ำหนักเกินที่ส่งผลต่อสุขภาพ
- BMI มากกว่า 30 หรือมากกว่า 30 ร่วมกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นไม่สำเร็จ เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
- ต้องการลดน้ำหนักเพื่อเตรียมตัวเข้ารับการรักษาอื่น ๆ เช่น ผ่าตัดข้อเข่า หรือรักษาภาวะมีบุตรยาก
โปรแกรมตัดกระเพาะ SLC ดีอย่างไร
- มาตรฐานโรงพยาบาลระดับสากล ปลอดภัยทุกขั้นตอนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
- ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง วิสัญญีแพทย์ดูแลแบบ 1:1 พร้อมเครื่องป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน
- แผลเล็ก ฟื้นตัวไว ผ่าตัดส่องกล้อง แผลเล็ก 0.5-1 ซม. ลดเจ็บ ลดเสี่ยงติดเชื้อ
- ลดความหิวแบบเห็นผล ควบคุมฮอร์โมน Ghrelin ทำให้กินได้น้อยลงโดยไม่ต้องฝืน
- ไม่มีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร ไม่เปลี่ยนทางเดินอาหาร ลดความเสี่ยงภาวะขาดสารอาหาร
- ดูแลครบวงจร มี Personal Patient Advisor และพยาบาลวิชาชีพดูแล 24 ชั่วโมง
- ผลลัพธ์ระยะยาว ลดน้ำหนักได้จริง พร้อมช่วยควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดศัลยกรรม โปรแกรมตัดกระเพาะ
- ปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำหนัก 5 – 10% ล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัด ทดสอบวินัยตัวเอง และให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมกับวิธีนี้
- ควบคุมอาหารก่อนผ่าตัด ก่อนผ่าตัด 1-2 วัน ควรกินแค่ซุปใส เพื่อช่วยเคลียร์ระบบทางเดินอาหาร
- ล้างลำไส้ ก่อนเข้าผ่าตัดต้องทำความสะอาดลำไส้ให้เรียบร้อย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน
- ตรวจสุขภาพ ปรึกษาแพทย์ ประเมินโรคประจำตัว และผลลัพธ์ที่ต้องการ
- งดยาและอาหารเสริม หยุดยาละลายลิ่มเลือด วิตามิน อาหารเสริม อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ
- งดอาหาร-น้ำ 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด และเตรียมร่างกายให้พร้อม
- แจ้งอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ไอ ท้องเสีย ให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
- ล้างสีเล็บ ถอดเล็บปลอม เพื่อป้องกันผลวัดออกซิเจนคลาดเคลื่อน
- เตรียมใจให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความกังวลก่อนเข้าผ่าตัด
ระยะเวลาในการทํา
- ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาน 2-3 ชั่วโมง ( ระยะเวลาผ่าตัดขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล )
ขั้นตอนการผ่าตัด
- ดมยาสลบ ภายใต้การดูแลของวิสัญญีแพทย์แบบ 1:1 เพื่อให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดไม่รู้สึกเจ็บและผ่อนคลายตลอดกระบวนการ
- เปิดแผลขนาดเล็ก ประมาณ 0.5-1 ซม. บริเวณหน้าท้อง 5 จุด เพื่อใส่เครื่องมือส่องกล้อง (Laparoscope) ที่มีกล้องความละเอียดสูงช่วยให้ศัลยแพทย์มองเห็นภายในชัดเจน
- ตัดกระเพาะ ศัลยแพทย์จะตัดเอาส่วนที่สามารถขยายตัวได้ออกไปประมาณ 80% ช่วยให้รับประทานอาหารได้น้อยลงและอิ่มเร็วขึ้น
- เย็บปิดกระเพาะ ใช้เครื่องมือเย็บแบบพิเศษเพื่อปิดแนวตัดให้แน่นหนา ลดความเสี่ยงการรั่วซึม และตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนปิดแผล
- ปิดแผล ด้วยไหมละลายหรือเทปปิดแผลชนิดพิเศษ ลดรอยแผลและช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
การดูแลหลังการผ่าตัดศัลยกรรม โปรแกรมตัดกระเพาะ
- พักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1-2 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์และพยาบาล
- ปรับอาหารการกินหลังผ่าตัด
- หลังทำทันที : จิบน้ำเปล่าเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายเริ่มปรับตัว
- Day 1 ดื่มซุปใส น้ำสมุนไพรหวานน้อย หรือไม่หวาน
- Day 3-7 เริ่มทานซุปข้น นมทางการแพทย์ นมรสจืด High Protein (หลีกเลี่ยงนมหวาน หรือนมรสช็อกโกแลตที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล)
- Day 7-28 ทานอาหารอ่อน เช่น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ เนื้อปลานึ่ง ไข่ตุ๋น หมูตุ๋น ก๋วยเตี๋ยว แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
- Day 28 เป็นต้นไป เริ่มทานอาหารปกติได้ ควรเน้น ผักใบนิ่มและผลไม้เนื้อนิ่ม
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีโซดา อาหารร้อนจัดหรือเผ็ดจัด เครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง (Energy Drink)
- รับประทานวิตามินเสริม เนื่องจากการดูดซึมสารอาหารลดลง
- พบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจเช็กสุขภาพกระเพาะและติดตามผลการลดน้ำหนัก